ทฤษฏีการบริหารการศึกษา
Abraham Harold Maslow : ทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการ 5 ขั้น
ทฤษฎีความต้องการของมาสโลว์ (Maslow’s Hiarachy of Needs) เป็นทฤษฎีที่กล่าวถึงความต้องการของมนุษย์
ถ้ามนุษย์ได้รับการตอบสนองที่ต้องการ ย่อมเกิดความพึงพอใจ และช่วยให้มีความสุข
มาสโลว์ จึงได้แบ่งความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ออกเป็น 5
ระดับด้วยกัน ได้แก่
1.ความต้องการทางร่างกาย
เป็นความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์เพื่อความอยู่รอด เช่น อาหาร เครื่องนุ่งห่ม
ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค อากาศ น้ำดื่ม การพักผ่อน
2.ความต้องการความปลอดภัยและมั่นคง
3.ความต้องการความผูกพันหรือการยอมรับ เป็นความต้องการเป็นส่วนหนึ่งของสังคม
4.ความต้องการการยกย่อง
5.ความต้องการความสำเร็จในชีวิต
เป็นความต้องการสูงสุดของแต่ละบุคคล เช่น
ความต้องการที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างได้สำเร็จ
ความต้องการทำทุกอย่างเพื่อตอบสนองความต้องการของตนเอง เป็นต้น
Douglas Mc Gregor : ทฤษฎี X
และทฤษฎี
เป็นทฤษฎีการมองต่างมุม ทฤษฎี X เป็นปรัชญาการบริการจัดการแบบดั้งเดิม
โดยมองว่าพนักงานเกียจคร้าน ไม่กระตือรือร้น ทฤษฎี Y เป็นปรัชญาการบริการจัดการ
โดยมองว่าพนักงานมีความรับผิดชอบ
มีความคิดริเริ่มในการแก้ปัญหาในการทำงานและไม่มีความเบื่อหน่ายในการทำงาน
William Ouchi : ทฤษฎี Z
เป็นทฤษฎีลูกผสมระหว่างญี่ปุ่นกับอเมริกัน
หรือเรียกว่ากลุ่มทฤษฎีร่วมสมัย
เป็นทฤษฎีที่มองเห็นว่าการจูงใจคนนั้นต้องเป็นไปตามสถานการณ์
แต่ทฤษฎีร่วมสมัยบางอย่างที่เกิดขึ้นมาใหม่ก็ยังไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็นทฤษฎี
แต่อยู่ระหว่างการศึกษาทดลองเพื่อปรับให้เป็นทฤษฎี เช่น ทฤษฎี Z ซึ่งเกิดจากคนอเมริกัน
ที่มีเชื้อสายญี่ปุ่น ชื่อ วิลเลี่ยม โอชิ ได้ศึกษาวิจัยว่า
แนวความคิดในการบริหารจัดการของโลก
ทฤษฎี A คือ Amarican
Theory เป็นทฤษฎีว่าด้วยการบริหารจัดการร่วมสมัยตามแบบของอเมริกา
ซึ่งให้หลักการว่า การบริหารจัดการแบบนี้ ต้องอาศัยการจัดการจากพื้นฐานของบุคคล
ของผู้บริหารที่เกิดขึ้นในอดีต ซึ่งในทฤษฎีนี้มีหลักสำคัญ 3
ประการ คือ
1. Individualism คือ
การที่สังคมอเมริกันเป็นสังคมแบบ ปัจเจกบุคคล ซึ่งจะมีความรับผิดชอบต่อตัวเองมาแต่อดีต
2. Short Term Employment คือ
การจ้างงานในระยะสั้น คนอเมริกันมักไม่มีความผูกพันในครอบครัว ในที่ทำงาน
พร้อมเสมอที่ออกจากงาน ย้ายงาน
3.Individual Decision Making สูง
มีความมั่นใจในการตัดสินใจ กล้าตัดสินใจ ทำให้ผู้บริหารไม่ต้องไปดูแลอย่างใกล้ชิด
ผลเสียคือ ขาดการทำงานเป็นทีม
Henry Fayol : บิดาทฤษฎีการบริหารจัดการสมัยใหม่
เป็นบิดาของทฤษฎีการจัดการการปฏิบัติการ
เขาเชื่อว่าการบริหารนั้นเป็นเรื่องของทักษะ
และเขาสนใจที่จะศึกษาองค์การโดยรวมและมุ่งเน้นที่กิจกรรมการจัดการ ซึ่งประกอบด้วย
การวางแผน การจัดองค์การ การบังคับบัญชา
หรือการสั่งการ วิญญาณแห่งหมู่คณะ
อังริ ฟาโยล (Henri Fayol)
เป็นนักอุตสาหกรรม
ชาวฝรั่งเศส ได้นำเสนอหลักการทีเขาเรียกว่า หลักการจัดการ 14
ประการ ซึ่งมีดังต่อไปนี้
1. การจัดแบ่งงาน
2. การมีอำนาจหน้าที่
3. ความมีวินัย
4. เอกภาพของสายบังคับบัญชา
5. เอกภาพในทิศทาง
6. ผลประโยชน์ของหมู่คณะจะต้องเหนือผลประโยชน์ส่วนตน
7. มีระบบค่าตอบแทนที่ยุติธรรม
8. ระบบการรวมศูนย์
9. สายบังคับบัญชา
10. ความเป็นระบบระเบียบ
11. ความเท่าเทียมกัน
12. ความมั่นคง
และสามัญฐานะของบุคลากร
13. การริเริ่มสร้างสรรค์
14. วิญญาณแห่งหมู่คณะ
แมกซ์ เวเบอร์ (Max Weber)
แมกซ์ เวเบอร์ (Max Weber) เป็นนักสังคมวิทยา ชาวเยอรมัน ได้นำเสนอแนวคิดการจัดองค์การ ที่เรียกว่า bureaucracy
ซึ่งเป็นลักษณะองค์การที่เป็นอุดมคติที่องค์การทั้งหลายควรจะเป็น
หากได้รับการพัฒนาในระดับที่เหมาะสมแล้ว เวเบอร์มีแนวคิดเกี่ยวกับการจัดองค์การ 6 ประการ ได้แก่
1. องค์การต้องมีการจัดแบ่งงานออกเป็นส่วนๆ
เพื่อให้แต่ละส่วนงานได้มีโอกาสทำงานในส่วนที่ง่าย
และมีการกำหนดงานนั้นๆให้ชัดเจนและไม่สับสน
2. องค์การนั้นต้องมีสายบังคับบัญชาตามลำดับ
3. ระบบการคัดเลือกคนนั้นต้องกระทำอย่างเป็น
4. องค์การต้องมีระเบียบ
และกฏเกณฑ์
5. ความไม่เลือกที่รักมักที่
6. การแยกระบบการทำงานออกเป็นสายอาชีพ
Luther Gulick
เป็นผู้คิดรูปแบบการบริหารจัดการโดยมีกิจกรรม
7 ประการ มาใช้ในการบริหาร ดังนี้
1. P คือการวางแผน (planning)
2. O คือการจัดองค์การ (organizing)
3. D คือการสั่งการ (directing)
4. S คือการบรรจุ (staffing)
5. CO คือการประสานงาน(co-ordinating)
6. R คือการรายงาน (reporting)
7. B คือการงบประมาณ (budgeting)
Frederick Herzberg
เป็นทฤษฎีเกี่ยวกับแรงจูงใจโดยเฟรเดอริค
เฮิร์ซเบอร์ก (Frederick
Herzberg)เฮิร์ซเบอร์กได้ศึกษาเรื่องเกี่ยวกับแรงจูงใจของคน
ซึ่งเขาได้ผลสรุปว่าแรงจูงใจของมนุษย์จะประกอบด้วย 2 ปัจจัย
คือ
1. ปัจจัยภายนอกหรือเรียกว่า Hygiene
Factors
2. ปัจจัยภายใน หรือ Motivation
Factors
Taylor : ทฤษฏีการจัดการตามหลักวิทยาศาสตร์
ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งการจัดการตามหลักวิทยาศาสตร์
ปรัชญาการบริหารของเทย์เลอร์ได้แก่
1.ทำการศึกษางานแต่ละส่วนด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์และพัฒนาวิธีการที่ดีที่สุดสำหรับการทำงานแต่ละอย่าง
2.ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ในการคัดเลือกและการฝึกอบรมพนักงานและมอบหมายความรับผิดชอบให้ทำงานที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละคน
3. มีการประสานงานกันอย่างใกล้ชิดระหว่างผู้บริหารและพนักงาน
4. แบ่งงานและความรับผิดชอบในงาน
Henry L. Gantt
เป็นผู้พัฒนาการอธิบายแผนโดยใช้กราฟ (Gantt Chart) ซึ่งเป็นแนวคิดของ Gilbreth เน้นการกำจัดความสิ้นเปลือง
และความไม่มีประสิทธิภาพในการทำงาน
การบริหารการศึกษา
บทที่ 1 มโนทัศน์เกี่ยวกับการบริหารการศึกษา
การบริหาร
เริ่มใช้เมื่ออาณาจักรโรมันโดยกลุ่มนักรัฐศาสตร์ ซึ่งเป็นการจัดการหรือควบคุมกิจการต่างๆของรัฐ
ส่วนการบริหารของรัฐ คือ
การบริหารหรือการจัดการหรือดำเนินการในด้านรายละเอียดอย่างมีระเบียบ
สำหรับความสำคัญของการบริหารนั้นเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการดำรงชีวิตของ
มนุษย์ที่จะใช้ชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพและมีความสุขและรู้จักพัฒนาตนเอง การบริหารการศึกษา หมายถึง
กิจกรรมต่างๆ
ที่บุคคลหลายคนร่วมกันดำเนินการ
เพื่อพัฒนาสมาชิกสังคมในทุกๆด้าน
การบริหารถือเป็นวิชาชีพชั้นสูงเพราะต้องได้รับการอบรมมากพอถึงจะเป็นนัก
บริหารได้
และจะเป็นผู้บริหารที่ดีได้จะต้องมีความสามารถประยุกต์ใช้ศาสตร์อย่างมีศิลปะ
บทที่ 2 วิวัฒนาการของการบริหารยุคต่างๆและการประยุกต์ใช้ในการบริหารการศึกษา
วิวัฒนาการ ด้านรัฐกิจ
เริ่มจากยึดโครงสร้างการบริหารในรูปองค์การรูปนัย
แล้วหันมาเน้นพฤติกรรมองค์การและเรื่องของมนุษยสัมพันธ์ หลังจากนั้นจึงมาใช้ร่วมกัน
ส่วนวิวัฒนาการด้านธุรกิจในระบบมีการใช้วิธีฝึกจากการทำงานการจัดการ
เป็นสาขาที่สำคัญ นอกจากการใช้ “ระเบียบวินัยในการทำงาน”
การบริหารด้านธุรกิจมีการวางกฎเกณฑ์
ระเบียบปฏิบัติวัตถุประสงค์และการรวมพลังของกลุ่ม
ดังนั้นปรัชญาของการบริหารธุรกิจจึงมุ่งแสวงหากำไรมากกว่าอย่างอื่น ผลประโยชน์นายทุนเป็นเป้าหมายสำคัญในการแบ่งยุคของยุคของนักทฤษฎีการบริหาร
จะแบ่งได้ดังนี้ในยุคที่ 1 นัก ทฤษฎีการบริหารสมัยเดิม
จะจัดการงานซึ่งได้ปฏิบัติ โดยอาศัยหลักควบคุมทางวินัย
ส่วนการประยุกต์ใช้หลักการบริหารเชิงวิทยาศาสตร์ในการบริหารการศึกษาจะมี
ความสับสนมาก
การต่อรองการแสดงความไม่พอใจของพนักงานในเรื่องอำนาจหน้าที่ของผู้บริหารมี
อยู่เสมอ
ทฤษฎีสมัยเดิมเริ่มไม่สู้เหมาะสม
ผู้บริหารจะคำนึงการใช้อำนาจอย่างที่เคยได้รับความเชื่อถือก็ย่อมต้อง
เปลี่ยนแปลง ใน ยุคที่2
ยุค Human Relation
Era ทฤษฎีมนุษยสัมพันธ์ความรู้ความชำนาญของผู้
บริหาร คือ ผู้บริหารต้องมีความรู้ ความฉลาด
และมีประสบการณ์เพื่อมาเป็นผู้นำหือหังฃวหน้ากลุ่ม
ส่วนการประยุต์ใช้หลักมนุษย์สัมพันธ์ในการบริหารการศึกษาเราสามารถนำหลัก
มนุษยสัมพันธ์มาใช้ในการบริหารการศึกษา ส่วนในยุคที่3 ยุคการใช้ทฤษฎีทางการบริการ
เป็นการจัดองค์การที่เป็นทางการจึงให้ทฤษฎีองค์การและยึดตามแนวมนุษย สัมพันธ์ให้ความสำคัญกับตัวบุคคล มุ่งด้านระบบขององค์การ และสนใจจะพูดถึงพฤติกรรมศาสตร์
บทที่ 3 งานบริหารการศึกษา
การบริหารการศึกษาจะไม่แตกต่างกับการบริหารงานทั่วไป
กล่าวคือสามารถนำหลักการของของการบริหารทั่วไปมาใช้กับการบริหารศึกษาได้
ผลเสียของการบริหารดังกล่าวสามารถมองเห็นได้ง่าย
เพราะจะมีลักษณะเผด็จการโดยการสั่งการสั่งจากเบื้องบน
มีคำสั่งให้ครูปฏิบัติและมีข้อห้ามในการกระทำ และมีการควบคุมอย่างเข้มงวดและมีการลงโทษหากผู้ใดฝ่าฝืนและลงโทษตามกฎหมายกำหนดและมีเครือข่ายทางการศึกษาดังนี้
1.การผลิต คือ กิจกรรมพิเศษหรืองานที่ทางองค์การได้จัดตั้งขึ้น
2.การประกันถึงการใช้ผลผลิตจากประชาชน
คือ กิจกรรมและผลผลิตของการดำเนินงาน
3.การเงินและการบัญชี คือ การรับและการจ่ายเงินในการลงทุนในกิจกรรมขององค์การ
4.บุคลากร คือ การกำหนดรอบและการดำเนินการของนโยบาย
5.การประสานงาน คือ เป็นกิจกรรมที่สำคัญของการบริหารการศึกษา
บทที่ 4 กระบวนการทางการบริหารการศึกษา
การ
บริหารการศึกษาเป็นหน้าที่หนึ่งของรัฐบาลในการบริหารประเทศ
เป็นการบริหารธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาแก่เด็กและเยาวชน
ที่เรียกว่าการบริหารการศึกษาสิ่งที่ทำให้การบริหารการศึกษา การบริหารราชการ และการบริหารธุรกิจจะแตกต่างกัน และปรัชญาการศึกษา ในการบริหารการศึกษาผู้บริหารนั้นจะต้องรู้เกี่ยวกับหลักการบริหาร
ที่สามารถนำไปเป็นหลักการจัดการศึกษาในโรงเรียนมี 2 เรื่อง คือ
1.การจัดระบบสังคม
2.เป้า
หมายและวัตถุประสงค์ของการศึกษา สำหรับหลักการจัดระบบการศึกษา ไม่ว่าระดับชาติ ระดับท้องถิ่น
ระดับโรงเรียน คือจะต้องรู้จักเด็กทุกคน
โดยยึดหลักความเสมอภาคและเหมาะสมกับปรัชญา สภาพแวดล้อมของโรงเรียน
และมีการส่งเสริมกิจกรรมให้สอดคล้องกับการปกครองในการบริหารงานในชั้นเรียน
อย่างเท่าเทียมกันโดยกระบวนการบริหารการศึกษา
เป็นความคิดรวบยอดและเป็นการจัดระบบการศึกษา
ให้เป็นไปตามกระบวนการศึกษาของโรงเรียน
บทที่ 5 องค์การและการจัดองค์การ
องค์การ ตามแนวคิด
หมายถึงส่วนประกอบที่เกิดจากระบบย่อยหลายระบบที่มีปฏิสัมพันธ์ กันภายใต้สิ่งแวดล้อมหรือระบบใหญ่ เราสามารถจำแนกองค์การที่อยู่รอบตัวเราออกเป็น 3 ลักษณะใหญ่ๆคือ
-องค์การทางสังคม
- องค์การทางราชการ
-องค์การเอกชน
แนวคิดในการจัดองค์การ
1. แนวคิดในการจัดองค์การมาจากพื้นฐานการดำเนินงานขององค์การที่ภารกิจมาก
2. แนวคิดในการจัดองค์การยังต้องคำนึงถึง
“ผู้ปฏิบัติงาน”
3. แนวในการจัดการองค์การ
จะต้องกล่าวผู้บริหารควบคู่กันไป
ความ
สำคัญของการจัดองค์การเป็นที่รวมของคนและเป็นที่รวมของงานต่างๆ เพื่อให้พนักงานขององค์การ ปฏิบัติงานได้อย่างเต็มที่และเต็มความสามารถ
องค์ประกอบในการจัดองค์การ
1. หน้าที่การงานเป็นภารกิจ
2. การแบ่งงานกันทำ
3. การรวมและการกระจายอำนาจในการจัดการองค์การ
ทฤษฎีองค์การ ความรู้ที่ได้จากทฤษฎีขององค์การมาจากสังคมวิทยา รัฐศาสตร์
และบางส่วนของจิตวิทยาสังคมกับเศรษฐศาสตร์
ระบบราชการและองค์การทางการศึกษา
ให้ความหมายไว้ว่าระบบราชการ หมายถึง ระบบการบริหารที่มีลักษณะรวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลางอย่างมาก มีความอิสระในการปฎิบัติงานและเป็นกึ่งทหาร
บทที่ 6 การติดต่อสื่อสาร
การติดต่อสื่อสารเป็นองค์ประกอบหนึ่งในกระบวนการบริหารที่ดี
มีความหมายว่ากระบวนการติดต่อเกี่ยวข้องและประสานงานกันระหว่างบุคคล
โดยอาศัยวิธีการถ่ายทอด และการรับข้อมูลเพื่อเป้าหมายที่ตั้งไว้
การติดต่อสื่อสารจึงมีความสำคัญอย่างหนึ่งในการบริหารเพื่อการแลกเปลี่ยน
ความคิดหรือเสริมสร้างความเข้าใจระหว่างกันและยังมีความสำคัญในการดำเนินการ
ในองศ์การอย่างมาก ปัจจัยในการติดต่อสื่อสารมี 3 ตัว คือ สื่อ
ช่องทางที่สื่อผ่านและกระบวนการ รูปแบบของการติดต่อสื่อสาร การจัดเตรียม
การสังเกตการณ์ของกระบวนการ การจำแนกปัจจัยผันแปร ชึ่งสิ่งเหล่านี้จะกำหนดทิศทาง
ช่วยให้ผู้บริหารจับประเด็นปัญหาของการติดต่อสื่อสาร
และช่วยป้องกันความยุ่งยากที่อาจเกิดขึ้นก่อนล่วงหน้า
องค์ประกอบของการติดต่อสื่อสารจะมีผู้ส่งสาร ช่องทาง ข้อมูล ผู้รับสาร การตอบรับ
ส่วนการติดต่อสื่อสารจะมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข่าวสารมีความเข้าใจระหว่างผู้ปฎิบัติงานเพื่อการทำงานไปด้วยดี
ช่วยสร้างทัศนคติเกิดแรงจูงใจ เพื่อเกิดแรงจูงใจ
บทที่ 7 ภาวะผู้นำ
ภาวะผู้นำ
หมายถึงการเป็นผู้นำที่ใช้อิทธิพลในการดำเนินงาน
ในความสัมพันธ์ต่อผู้ใต้บังคับบัญชาในสถานการณ์ต่างๆเพื่อปฏิบัติการและอำนวยการ
โดยใช้กระบวนการติดต่อชึ่งกันและกัน หน้าที่ผู้นำเกี่ยวข้องกับ การอำนวย การจูงใจ
การริเริ่ม กำหนดนโยบาย วินิจฉัยสั่งการ องค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับภาวะผู้นำ
มีผู้นำ ผู้ตาม สถานการณ์
ผู้นำกับผู้บริหารจะแตกต่างกันคือผู้นำก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในองค์กร
ส่วนผู้บริหารเป็นผู้รักษาความมั่นคงในหน่วยงาน ผู้นำจะกลุ่มยกย่องเนื่องจากมีลักษณะเด่นเป็นพิเศษเหนือบุคคลอื่นเนื่องจากผู้บริหารมีรูปแบบเป็นทางการ
บทที่ 8 การประสานงาน
การประสานงาน
คือการจัดระเบียบวิธีการทำงาน
เพื่อให้งานและเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่งๆร่มมือปฎิบัติงานเป็นน้ำหนึ่งเดี่ยวกัน
เพื่อให้งานดำเนินไปอย่างราบรื่นสอดคล้องกับวัตถุประสงค์และนโยบาย
ความมุ่งหมายในการประสานช่วยให้คุณภาพและผลงานเป็นไปตามวัตถุประสงค์
เพื่อจัดความซ้ำซ้อนกันของการทำงานโดยไม่จำเป็น
และเพื่อลดปัญหาความขัดแย้งกันระหว่างเจ้าหน้าที่ปฎิบัติงาน
ภารกิจในการประสานงานที่ดี ควรทราบถึงภารกิจที่ดีในการประสานงานคือต้องทราบนโยบาย
แผนงาน งานที่รับผิดชอบ และทรัพยากร
ส่วนหลักการประสานงานควรจัดให้มีระบบในการสื่อสาร ความร่วมมือ
การประสานงานและนโยบายที่ดี
และในการประสานให้มีประสิทธิภาพและรวดเร็วควรจะมีโครงสร้างที่จัดเป็นระบบแบบแผน
มีแผนภูมิแสดงสายการบังคับ มีการเขียนนโยบาย มีระบบเสนองาน
มีเครื่องมือและระบบสื่อสารที่เพียงพอและเปิดโอกาสให้กับผู้เข้าร่วม
การประสานงานที่ดีจะมีประโยชน์หลายอย่างคือช่วยลดการขัดแย้ง ลดปัญหาที่ซับซ้อน
ทำให้เกิดเอกภาพในการทำงาน ช่วยให้ประหยัดเงิน เวลา
บทที่ 9 การตัดสินใจสั่งการหรือการวินิจฉัยสั่งการ
การ
ตัดสินใจคือการชั่งใจไตร่ตรองหาเหตุผลเพื่อให้การดำเนินงานไปสู่เป้าหมายที่
กำหนดไว้ ส่วนการวินิจฉัยสั่งการคือการสั่งงานหรือการพิจารณาตกลงชี้ขาดจากทางเลือก
ที่มีอยู่มากกว่าหนึ่งทางขึ้นไป หลักการในการตัดสินใจหรือวินิจฉัยสั่งการ
บางครั้งตัดสินใจถูกแต่การสั่งงานผิดพลาดอาจทำให้เกิดผลเสียหายแก่งาน ลักษณะการวินิจฉัยสั่งการของผู้บริหารที่ดี
จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังนี้ ระยะเวลาที่เหมาะสม ความแน่นอน
ความรู้ความสามารถของผู้บริหาร ประสบการณ์ในการทำงาน ทัศนคติ บุคลิกภาพที่มีอิทธิพล
ความลำเอียงส่วนบุคคล ความโดดเดี่ยว ประสบการณ์ การรู้โดยความรู้สึก
และการแสวงหาคำแนะนำ
บทที่ 10 ภารกิจของผู้บิหารโรงเรียน
ผู้บริหารโรงเรียน
ถือว่าเป็นบุคคลสำคัญที่ได้รับการแต่งตั้งหรือมอบหมายงานให้มีอำนาจหน้าที่ในการจัดการศึกษาหรืออำนวยการต่างๆ จะมีหลายด้าน ดังนี้
1.การบริหารงานวิชาการ จะเป็นหัวใจของการบริหารในโรงเรียน
ลักษณะและความสำคัญของงานวิชาการ จึงถือว่างานวิชาการท้าทายผู้บริหารการศึกษา
งานวิชาการจะเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนในโรงเรียน และผู้บริหารจะต้องรับรู้
รับผิดชอบ ควบคุมดูแลในการดำเนินการวางแผน
2.การบริหารบุคคล คือการจัดงานเกี่ยวกับคนให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ส่งเสริมให้กำลังใจผู้ปฎิบัติให้ทำงานอย่างมีปะสิทธิภาพ ความสำคัญของการบริหารบุคคล คือ
คนเป็นผู้บันดาลให้ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้น วัตถุประสงค์
เพื่อสรรหาและเลือกสรรคนดี มีความรู้ความสามารถมาทำงานให้เกิดผลสูงสุดอยู่กับองศ์การนานๆ
3.การบริการธุรการในโรงเรียน
คืองานธุรการเป็นเรื่องของการให้บริการแก่หน่วยงานต่างๆของโรงเรียนหรอสถาบันการศึกษา
ส่งผลให้การเรียนการสอนเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด
ความสำคัญจะเป็นเสมือนน้ำมันหล่อลื่นให้เครื่องจักร(งานวิชาการ)
ทำงานได้ดีและเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความสามารถของผู้บริหารงาน
หน้าที่ของผู้บริหารงานธุรการ คือจะเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายงานธุรการ
ติดตามและวางแผนการปฎิบัติงาน จัดระบบงาน
4.การบริหารงานนักเรียน
เป็นการบริการงานเกี่ยวกับนักเรียนในส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนในห้องเรียน
หลักในการจัดกิจกรรม ต้องให้นักเรียนมีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมอย่างเสมอภาค
ต้องอยู่ในความรับผิดชอบของสถานศึกษา ต้องปลูกฝังความคิด
5.การบริหารอาคารสถานที่และบริการด้านอื่นๆ
คือการรู้จักจัดหา
รู้จักใช้อาคารให้เกิดประโยชน์สูงสุดและให้คงสภาพดีสนองความต้องการได้อย่างเพียงพอ